วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติการเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้ป่าอยู่ตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก สภาพแวดล้อมธรรมชาติมีความเหมาะสมกับการเลี้ยงกล้วยไม้อย่างกว้างขวาง ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐เป็นต้นมา ได้มีการเริ่มสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกขึ้นในประเทศไทย ในกลุ่มบุคคลสูงอายุและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอสมควร ในช่วงเวลา ๑๐ ปีระหว่างนี้ ได้มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเลี้ยงกล้วยไม้เกิดขึ้นในกลุ่มบุคคลเล็กๆ อาทิเช่น มีการแปลหนังสือตำราความรู้เกี่ยวกับลักษณะกล้วยไม้ชนิดต่างๆจากภาษาต่างประเทศมาเป็นตำราภาษาไทย และยังได้เพิ่มข้อแนะนำเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการปลูกเท่าที่ประสบการณ์ในสมัยนั้นพึงมี การสั่งกล้วยไม้บางชนิดจากภายนอกประเทศเข้ามาเลี้ยง และได้มีการรวบรวมกล้วยไม้พื้นเมืองภายในประเทศมาเลี้ยงด้วย แต่เนื่องจากสมัยนั้นความรู้ทางวิชาการและความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยยังมิได้ขยายตัวกว้างขวางนัก คนทั่วไปในสังคมซึ่งได้พิจารณากลุ่มผู้สนใจกล้วยไม้แล้วทำให้เข้าใจไปว่าการเลี้ยงกล้วยไม้เป็นกิจกรรมของผู้มีอันจะกินและผู้สูงอายุ
ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ ได้มีกลุ่มนักวิชาการเกษตรอาวุโสพยายามรวมกลุ่มผู้สนใจต้นไม้ทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งกล้วยไม้ด้วย เพื่อจัดตั้งเป็นสมาคม โดยมีวัตถุประสงค์ให้มีการปลูกฝังความรักและสนใจต้นไม้ในหมู่ประชาชน แต่เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวเป็นงานอาสาสมัคร ประกอบกับการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ในขณะนั้นก็ยังอยู่ในวงแคบกิจกรรมดังกล่าวจึงยังคงจำกัดตัวเองอยู่อย่างไม่กว้างนัก
ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ เสร็จสิ้นแล้ว ประเทศต่างๆ ได้มีการเร่งรัดพัฒนาตนเองและประสานงานร่วมมือกับประเทศอื่นๆ กว้างขวางออกไป วงการกล้วยไม้ในหลายประเทศได้มีการตื่นตัว เผยแพร่ความรู้และข่าวสารตลอดจนกิจกรรมที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกกล้วยไม้ของประเทศต่างๆ เป็นผลให้ประเทศไทยมีความสนใจกล้วยไม้มากยิ่งขึ้น จึงได้มีการศึกษาค้นคว้าแบบอาสาสมัครของบุคคลผู้สนใจเกิดขึ้น และต่อมาก็ได้มีการรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม ทั้งในด้านการศึกษาวิจัย และการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ เมื่อมีการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย รวมทั้งการพัฒนาทางด้านวิทยุกระจายเสียง ก็ได้มีการจัดทำรายการเผยแพร่ความรู้เรื่องกล้วยไม้ด้วย ซึ่งนับเป็นรายการโทรทัศน์ครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้มีการนำเอาความรู้เกี่ยวกับต้นไม้ออกสู่ประชาชน นอกจากนั้น ยังได้เปิดอบรมเผยแพร่ความรู้เรื่องกล้วยไม้แก่ประชาชนในภาคค่ำในรูปอาสาสมัครขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นประจำ และผลิตสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ ตลอดจนข่าวสารเกี่ยวกับกล้วยไม้ได้เร็วพอสมควร ทั้งๆที่สมัยนั้นยังไม่มีการส่งเสริมงานอดิเรกประเภทนี้ไปสู่ประชาชนแต่อย่างใด
ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีการรวมกลุ่มผู้สนใจกล้วยไม้จดทะเบียนเป็นสมาคมกล้วยไม้บางเขน ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้สถาปนาเป็นสมาคมกล้วยไม้แห่งประเทศไทย และได้เข้าอยู่ในพระบรม-ราชูปถัมภ์ ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้ริเริ่มเปิดการสอนการวิจัยเรื่องกล้วยไม้ขึ้นในคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อผลิตนักวิชาการในสาขาวิชากล้วยไม้ และทำงานประสานกับสมาคมอันเป็นองค์กรที่จัดการโดยประชาชนผู้สนใจอย่างใกล้ชิด เพื่อหวังผลการพัฒนาวงการกล้วยไม้บนโครงสร้างสมบูรณ์แบบ
ประเทศไทยได้เริ่มเข้าไปมีบทบาทในวงการกล้วยไม้สากลอย่างเป็นทางการ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ เมื่องานชุมนุมกล้วยไม้โลกครั้งที่ ๔ ได้มาจัดขึ้นที่สิงคโปร์ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเมืองหนึ่งของประเทศมาเลเซีย โดยศาสตราจารย์ ระพี สาคริก ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเป็นผู้บรรยายเสนอผลงานเกี่ยวกับกล้วยไม้ของประเทศไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกในคณะกรรมาธิการร่างกฎเกณฑ์ในการจดทะเบียนตั้งชื่อกล้วยไม้ลูกผสมของสากล จากนั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยก็มีบทบาทในวงการกล้วยไม้สากลกระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วการที่บุคคลในประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมปฏิบัติงานในกิจกรรมระหว่างประเทศนี้ นอกจากเป็นการเผยแพร่ความก้าวหน้าของประเทศไทยในด้านกล้วยไม้ และในด้านศิลปวัฒนธรรมแล้ว ในมุมกลับก็ได้ข้อมูลต่างๆไว้เป็นประสบการณ์ เพื่อนำกลับมาพัฒนากิจกรรมกล้วยไม้ของประเทศให้สามารถสอดคล้องและทัดเทียมกับสากลประเทศด้วย ดังนั้น ทุกครั้งที่มีงานชุมนุมกล้วยไม้โลกขึ้น ประเทศไทยก็ได้รับเชิญเข้าร่วมกิจกรรม และได้รับความนิยมยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
ภายในประเทศนั้นก็ได้มีการให้การศึกษาเกี่ยวกับกล้วย-ไม้ทั้งในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา รวมทั้งมีงานวิจัยต่างๆมากยิ่งขึ้นด้วย พันธุ์ไม้พื้นเมืองของประเทศไทยได้รับความสนใจนำมาคัดพันธุ์ ผสมพันธุ์ เผยแพร่ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ บุคคลผู้ที่ได้รับความรู้จากผลการส่งเสริมเรื่องกล้วยไม้ ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วประเทศ ได้มีการรวมกลุ่มในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อดำเนินกิจกรรมส่งเสริมเผยแพร่การเลี้ยงกล้วยไม้ จนกระทั่งในที่สุดประเทศไทยก็ได้รับความเห็นชอบจากประเทศต่างๆให้เป็นเจ้า-ภาพจัดงานชุมนุมกล้วยไม้โลกครั้งที่ ๙ ในประเทศไทย เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งมีทั้งกิจกรรม การประชุมทางวิชาการ การจัดแสดง และการประกวดกล้วยไม้ที่ส่งมาจากประเทศต่างๆทั่วโลก และการจัดทัศนศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมและสิ่งที่น่าสนใจต่างๆของประเทศด้วย ในการชุมนุมครั้งนี้ปรากฏว่า มีชาวต่างประเทศจาก ๔๑ ประเทศ เป็นจำนวนกว่า๓,๐๐๐ คน มาร่วมงานนี้ ซึ่งนับเป็นงานชุมนุมนานาชาติครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย และได้รับการชมเชยจากทั่วโลกว่า เป็นงานชุมนุมกล้วยไม้โลกที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดเท่าที่ได้เคยมีมาแล้ว
ในด้านธุรกิจการค้ากล้วยไม้ หลังจากได้มีการพัฒนากิจกรรมกล้วยไม้มาพอสมควร ประเทศไทยสามารถส่งกล้วยไม้ทั้งพันธุ์พื้นเมือง และพันธุ์ผสมออกไปสู่ตลาดต่างประเทศอย่างกว้างขวาง การค้าต้นกล้วยไม้ดังกล่าวนั้น ส่วนใหญ่เป็นการเพาะเลี้ยง และผลิตต้นจากสวนในบ้าน โดยใช้แรงงานภายในครอบครัว ซึ่งนับเป็นการเสริมฐานะทางเศรษฐกิจให้ประเทศในแนวที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าการรวบรวมพันธุ์ ผสมพันธุ์และเพาะเลี้ยงกล้วยไม้เหล่านี้ ได้เติบโตขึ้นมาจากงานอดิเรก ซึ่งกระจายอยู่ทั่วๆไป โดยเริ่มจากบริเวณกรุงเทพฯ ก่อน จากนั้นก็แพร่ออกสู่ต่างจังหวัด ผู้ที่มีงานประจำทำอยู่แล้วจึงสามารถใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทั้งในด้านจิตใจ และเสริมสร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้แก่ตนเองและครอบครัว
การค้าดอกกล้วยไม้ได้เริ่มต้นตามมาภายหลัง ประมาณพ.ศ. ๒๕๑๒ ในขณะที่วงการกล้วยไม้ของประเทศไทยได้กระจายการเลี้ยงกล้วยไม้ออกสู่ประชาชนในระดับที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่สูงนัก พันธุ์กล้วยไม้ก็เริ่มมีราคาลดต่ำลงมาอยู่ในระดับปานกลาง ดังนั้น จึงเริ่มมีการปลูกกล้วยไม้ตัดออกเป็นการค้าขึ้น กล้วยไม้ที่ปลูกตัดออกเป็นการค้าในระยะแรกๆ นั้นได้แก่หวายลูกผสมที่มีชื่อว่า ปอมปาดัวร์ (Dendrobium Pompadour) ตลาดดอกกล้วยไม้ของประเทศไทยในต่างประเทศนั้นได้เริ่มต้นขึ้นในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเยอรมนีตะวันตก ฮอลันดา อิตาลี และสวีเดน เป็นต้นต่อมาในระยะหลังได้มีการเปิดตลาดดอกกล้วยไม้ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๐ และใน พ.ศ. ๒๕๒๓ก็ได้มีการสำรวจตลาด และทดลองส่งดอกไม้ไปยังสหรัฐอเมริกา และแคนาดา มูลค่าทั้งหมดของดอกกล้วยไม้ที่ส่งจากประเทศไทยออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ ได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนประมาณ ๕๐๐ ล้านบาท ใน พ.ศ. ๒๕๒๓ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคตในด้านการปรับปรุงพันธุ์กล้วยไม้เพื่อตัดออกเป็นการค้านั้นได้ เริ่มมีการวิจัย และส่งเสริมเผยแพร่ให้ชาวสวนกล้วยไม้ได้ขยายการผลิตออกไปสู่พันธุ์กล้วยไม้ใหม่ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นมา การปลูกกล้วยไม้ตัดออกได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นอาชีพของชาวสวนเป็นจำนวนมาก และประสบการณ์จากการพัฒนากล้วยไม้ ยังได้มีส่วนสร้างแนวทางในการพัฒนาการปลูกต้นไม้อย่างอื่นในชีวิตประจำวันของประชาชนอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

กล้วยไม้ป่า


ก่อนที่เราจะทำการปลูกกล้วยไม้เราก็ควรที่จะรู้เสียก่อนว่ากล้วยไม้มีความเป็นมากันอย่างไร เรามาเริ่มศึกษากันก่อนนะครับ (ต้องขอขอบคุณที่มาของข้อมูล ได้นำมาจากหลาย ๆ เว็บและหนังสือต่าง ๆ ด้วยครับผม)…
กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในวงศ์ Orchidaceae เป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของไทย เพราะเป็นไม้ส่งออกขายต่างประเทศทำรายได้เข้า ประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท มีการปลูกเลี้ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผสมเกสร เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เลี้ยงลูกกล้ายไม้ เลี้ยงต้นกล้ายไม้จน กระทั่งให้ดอก ตัดดอกบรรจุหีบห่อและส่งออกเอง

แหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าที่สำคัญของโลกมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ลาตินอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิค สำหรับในลาตินอเมริกาเป็น อาณาบริเวณอเมริกากลางติดต่อกับเขตเหนือของอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง จากการค้นพบประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไม้ป่าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของ กล้วยไม้มาก และกล้วยไม้ป่าที่ในพบในภูมิภาคแถบนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างจากกล้วยไม้ในภูมิภาคลาตินอเมริกา

การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย
จากการสำรวจในอดีตพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้อยู่ในป่าธรรมขาติ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชนิด ทั้งประเภทที่พบอยู่บนต้นไม้ บนพื้นผิวของภูเขาและบนพื้นดิน สรุปได้ว่าสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศไทยเอื้ออำนวยแก่การเจริญงอกงาม ของกล้วยไม้เป็นอย่างมาก ในอดีตชาวชนบทของไทย โดยเฉพาะในแหล่งที่เคยมีกล้วยไม้ป่าอุดมสมบูรณ์ ได้นำกล้ายไม้ป่ามาปลูกเลี้ยงโดยเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำกล้วยไม้มาปลูกไว้กับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ไกล้ๆ บ้านเรือน การเลี้ยงกล้วยไม้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกเลี้ยงอย่างจริงจังโดยชาวตะวัน ตกผู้หนึ่ง ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เห็นว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ จึงได้สร้างเรือนกล้วยไม้อย่างง่ายๆ และนำเอากล้วยไม้ป่าจากเขตร้อนของอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าแหล่งใหญ่แหล่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกล้วยไม้ในเอเชียและเอเซียแปซิฟิค โดยนำมาปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรกในขณะเดียวกันก็มีเจ้านายชั้นสูงและบรรดา ข้าราชการที่ใกล้ชิด ให้ความสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มบุคคลสูงอายุซึ่งเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อความสุขทางใจ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ อย่างไรก็ตามการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ คือ ในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้มีเงินในยุคนั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงที่นิยมกล้วยไม้พันธุ์ต่างประเทศ ส่วนกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในป่าของประเทศไทยจะนิยมและยกย่องเฉพาะพันธุ์ ที่หายากและมีราคาแพง

หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี 2475 สภาพการเลี้ยงก็ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเช่นเดิม แต่ผลงานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์กล้วยไม้ในต่างประเทศเริ่มมีอิทธิพลกระตุ้น ให้ผู้เกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้ในประเทศไทยสนใจกล้วยไม้ลูกผสมมากขึ้น มีการสั่งกล้วยไม้ลูกผสมจากประเทศในทวีปยุโรป สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย
การพัฒนาการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ เป็นไปอย่างจริงจัง
ปี 2493 โดยได้มีการวิจัย นับตั้งแต่การรวบรวมปลูกในระดับพื้นฐาน
ปี 2497 ได้เริ่มเปิดการฝึกอบรมการเลี้ยงกล้วยไม้ให้แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป และมีการจัดตั้งชมรมกล้วยไม้ขึ้น
ปี 2498 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมาคมกล้วยไม้
ปี 2500 และในปีเดียวกันนี้ ได้เริ่มมีการนำเอาความรู้ในเรื่องกล้วยไม้และแนวความคิดในการพัฒนาวงการกล้วยไม้ออกเผยแพร่ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุ และมีการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ทำให้วงการกล้วยไม้ของประเทศไทย ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีการจัดตั้งสมาคมและสโมสรเกี่ยวกับกล้วยไม้ขึ้นในภาคและจังหวัดต่างๆ
ปี 2501 ได้มีการเปิดการสอนวิชากล้วยไม้ขึ้นในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรก เพื่อผลิตนักวิชาการและพัฒนางานวิจัยกล้วยไม้ของประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในวง แคบอีกต่อไป จากการส่งเสริมดังกล่าว ทำให้มีการนำเข้ากล้วยไม้ลูกผสมจากต่างประเทศ เช่น จากฮาวายและสิงคโปร์จำนวนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่มีความรู้หันมารวบรวมพันธุ์ผสมและเพาะพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์ใน ประเทศ ทั้งที่เป็นพ่อแม่พันธุ์จากป่า และลูกผสมที่สั่งเข้ามาแล้วในอดีต
ปี 2506 วงการกล้วยไม้ของไทยได้เริ่มมีแผนในการขยายข่ายงานออกไปประสานกับวงการกล้วยไม้สากล เพื่อยกระดับวงการกล้วยไม้ในประเทศให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ
ปี 2509 เริ่มการทำสวนกล้วยไม้ตัดดอกอย่างจริงจัง เมื่อไทยเริ่มส่งออกกล้วยไม้ไปสู่ตลาดต่างประเทศในยุโรปตะวันตก เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี ต่อมาจึงขยายตลาดไปสู่ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา

(ที่มา : พันไม้ดอทคอม ดูจากหลาย ๆ เว็บเหมือนกันหมดเลยครับ)